วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เชื่อหรือไม่ว่า อบเชยสามารถรักษาโรคเบาหวานได้


อบเชย เป็นสมุนไพรไทย ซึ่งมีมาแต่โบราณ แต่ปัจจุบันนี้ อบเชยไม่เชยอย่างที่คิด อบเชยเป็นสมุนไพรที่ทันสมัยมากเหมาะกับทุกยุคทุกสมัย และเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรค ที่มีมาแต่โบราณเช่นกัน และมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคเบาหวานมีตั้งแต่เด็ก ถึงคนชรา วันนี้ขอนำเสนอสรรพคุณที่มหัศจรรย์ของอบเชย ให้เพื่อน ๆ ได้รู้เผื่อจะได้นำไปฝากคนที่บ้าน (ที่เป็นโรคเบาหวาน) กันค่ะ
สรรพคุณ
อบเชยทำให้ท้องเป็นปกติดี แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ขับลม ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ย่อยไขมัน (อาจเป็นเพราะไปช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยไขมัน) ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย มีสารต้านแบคทีเรีย และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ (ผลงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา)

อบเชยที่ใช้ปรุงอาหารจะใช้ชนิดหลอด (ม้วนเปลือกให้เป็นหลอด) ใช้ปรุงอาหารเช่นทำพะโล้ ใช้ทำยาไทยหลายตำรับ ตำราไทยระบุว่าอบเชยมีกลิ่นหอม มีรสสุขุม มีสรรพคุณใช้บำรุงจิตใจ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ขับลม บำรุงธาตุ แก้บิด แก้ไข้ สันนิบาต ใช้ปรุงยานัตถุ์แก้ปวดหัว นอกจากการใช้เปลือกตำราไทยยังระบุว่ารากและใบมีกลิ่นหอมรสสุขุม ใช้ต้มดื่มขับลมบำรุงธาตุ แก้ท้องอืดเฟ้อ

สรรพคุณที่กล่าวถึงในบทความนี้ทั้งหมด คือส่วนที่ละลายน้ำได้และไม่ใช่น้ำมันที่กลั่นได้ (cinnamon oil) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่น เหล้า ขนมหวาน สบู่ และยาเป็นต้น อบเชยชนิดหลอดชาวตะวันตกนิยมใช้คนกาแฟ ชา หรือโกโก้ ซึ่งสาร MHCP ก็จะละลายออกมาอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ และให้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลเช่นกัน แต่เราไม่สามารถทราบถึงปริมาณ MHCP ซึ่งละลายอยู่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีนัก หากต้องการใช้
ในการรักษาเพราะควรทราบปริมาณที่ใช้อย่างชัดเจน

ผลงานวิจัยที่สำคัญ

ดร.ริชาร์ด แอนเดอร์สัน ได้แนะนำอาสาสมัครของเขาที่ป่วยเป็นเบาหวาน ให้ลองใช้อบเชยเป็นประจำ ปรากฏว่ามีอาสาสมัครนับร้อย ได้รายงานผลดีกลับเข้ามาว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ อบเชยช่วยเร่งให้การสันดาปน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น 20 เท่า นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าการกินอบเชยนั้นไม่มีอันตราย แต่ถ้าหากการทดลองรับประทานเองแต่ละบุคคลนั้น หากได้ผลดีก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเกินคาด ทั้งยังเป็นยาที่เป็นสารธรรมชาติ และในรายที่ไม่ได้ผลดี ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด

อบเชยทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการให้สัญญาณอินซูลิน (Insulin-Signaling System) และอาจจะทำได้ดีกว่าเสียอีกโดยที่อบเชยสามารถทำงาน ก่อนที่จะนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ สามารถใช้อบเชยร่วมกับอินซูลินได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าสาร MHCP สามารถลดความดันโลหิตของสัตว์ทดลองได้ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกด้วย

แม้ว่าอบเชยจะยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนใช้แทนยาได้ แต่ ดร.แอนเดอร์สัน ก็แนะนำว่าควรทดลองใช้ 1/4 ช้อนชาถึง 1 ช้อนชาต่อวัน เมื่อคำนวณดูแล้ว 1 ช้อนชาจะหนักประมาณ 1,200 มิลลิกรัม ดังนั้น ขนาด 1/4 ช้อนชา จึงประมาณเท่ากับ 300 มิลลิกรัม สามารถบรรจุลงในแคปซูล หมายเลข 1 ได้กำลังพอดี ขนาดที่ควรใช้ก็คือ 1 แคปซูล ทุกมื้ออาหาร วันละ 4 มื้อ ในกรณีที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือคนที่บิดามารดาเป็นเบาหวาน ควรรับประทานพร้อมกับอาหารมื้อใหญ่ วันละ 1-2 เม็ด ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารและขับลมได้ด้วย อบเชยชนิดที่ ดร.แอนเดอร์สันใช้ทดลองนั้นเป็นชนิดที่เข้าหาได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา มาจากเปลือกต้นอบเชยจีนคือ Cassia (Cinnamomum cassia) ซึงคล้ายกับชนิดที่มีอยู่ในป่าบ้านเรา อบเชยชวาจะใช้ได้ดีที่สุด

การใช้อบเชยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นวิธีช่วยผู้เป็นเบาหวานโดยใช้สารธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ยิ่งกับเกษตรกรผู้ปลูกอบเชยในเขตเอเชียตอนใต้รวมถึงประเทศไทยด้วย มีหลายฝ่ายคิดว่าอบเชยทีดีคือ อบเชยที่ยังไม่ผ่านการฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อโรค จึงควรนำเปลือกอบเชยแห้งที่ม้วนอยู่เป็นหลอดมาบดให้ละเอียดเก็บไว้ใช้เองหรือจำหน่าย แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้เป็นเบาหวานคือ จะต้องไม่ลืมเรื่องการงดอาหารที่ไม่ควรบริโภค และมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตนตามแพทย์สั่ง และ พบแพทย์ตามนัดหมาย หากใช้อบเชยกรุณาบอกแพทย์ด้วย

หากซื้ออบเชยชนิดเป็นหลอดเพื่อนำมาบดใช้เอง ควรเลือกที่ใหม่และยังไม่ถูกนำไปต้มสกัดเอารสกลิ่นไปใช้ก่อนแล้ว จึงจะเห็นผลเช่นที่ดร.แอนเดอร์สันได้ทดลองไว้ หากเลือกไม่ดีอาจใช้ไม่ได้ผล จึงควรคำนึงในเรื่องคุณภาพและชนิดของอบเชยชนิดที่ใช้ด้วย

ล่าสุดจากการติดต่อโดยตรงกับดร.แอนเดอร์สัน ได้รับทราบว่าผลการศึกษาวิจัยในคนถูกตีพิมพ์ในวารสาร เดือนธันวาคม พ.ศ.2546 ผลที่ได้จากการให้อบเชยแก่ผู้ป่วยเบาหวานพบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดีขึ้นระหว่าง 12-30 % จึงเป็นผลที่ยืนยันการศึกษาวิจัยเดิมและ
น่านำไปใช้เพื่อป้องกัน และใช้ร่วมกับยารักษาเบาหวานต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก : www.salasamunprai.com/herbs/cinnamon.html
และภาพสวย ๆ จากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

จับตาลูกก่อนเกิดปัญหาใจ


โดย: ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์

พ่อแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกตและสัมผัสลูกของเราด้วยใจ

ขอบ่นก่อนว่า หัวข้อนี้เขียนยากจัง ยากเพราะความจำกัดของภาษาพูดเขียนที่เรามี ทำให้ไม่สามารถบรรยายถึงความแตกต่างระหว่างระดับความปกติ แค่เบี่ยงเบน หรือผิดปกติทางพฤติกรรมหรือจิตใจที่ชัดเจนแน่ๆได้

เคล็ดลับที่จะทำให้อ่านบทความนี้แล้วนำไปใช้ได้อย่างได้ผล ไม่ใช่ได้ความแต่คลุมเครือ คุณพ่อคุณแม่เองต้องหมั่นเปิดใจ สังเกต และสัมผัสเด็กๆ ลูกของเราด้วยใจ เรื่องของใจก็ต้องใช้ใจเข้าจับด้วย ว่างั้นเถอะ

ถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะออกสัญญาณมาแบบไหนไม้ไหนก็จับได้หมดไม่หลุด อย่าไปยึดแค่ตามตัวหนังสือเท่านั้น ทำนองเดียวกับว่า รู้ว่าเพลงเพราะก็ด้วยการฟัง ไม่ใช่มองที่ตัวโน้ต (ยกเว้นคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ ที่อ่านโน้ตก็มีเสียงเกิดในหัวตามแล้ว) จะว่าไป ถ้าเราตั้งใจเลี้ยงลูกไม่น้อยไปกว่าตั้งใจทำมาหาเงิน แบบที่เราคิดพลิกแพลงให้ได้รายได้เพิ่ม ตลอดเวลา เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปนัก

ที่ว่าต้องเปิดใจก็คือ เราเองต้องรับได้ว่า เด็กทุกคนมีจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถ้าเราเองหรือใครเห็นว่าลูกของเราอะไรๆ ก็ดีซะหมดแล้ว อย่าเพิ่งปฏิเสธว่า ลูกฉันจะมีปัญหาได้ยังไง แล้วพานโกรธคนทัก

ที่ว่าต้องสังเกต ก็คือ เราต้องระแวดระไวกับความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกเรา หมั่นสังเกตตรวจตรา ขนาดรถคุณยังเติมน้ำเติมลม ถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ปล่อยตามธรรมชาติหรือยถากรรมเกินไป แต่ก็อย่าไวกับทุกอย่างเกินไป จนเว่อร์

การอาศัยพัฒนาการโดยเฉลี่ยของเด็กอย่างที่เคยได้ยินได้เห็นมาเป็นเกณฑ์ อาจเป็นแนวทางที่เราใช้สังเกตลูกได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องสัมผัสลูกด้วยใจด้วย คือสามารถเข้าใจได้ว่า ถ้าเราเป็นเขาในวัยนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร ไม่คิดอย่างคนในวัยเราคิด หรือถ้าไม่เข้าใจก็คุยถามเขาดู

ขั้นต่อไปก็ลองมาดูว่า อะไรหนอที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้ลูกเราเริ่มลำบาก เริ่มมีปัญหาบ้าง เริ่มจากรอบๆ ตัวเด็ก มองครอบครัวของเราเองก่อนว่า อยู่ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงกับครอบครัวบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าในแง่ที่เราว่าดี อย่างย้ายบ้านใหม่ มีน้องใหม่ พี่สอบเอ็นทรานซ์ได้ พ่อแม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอก หรือไม่ดี อย่างพ่อแม่ทะเลาะกัน เงินทองไม่พอใช้ เลยไปถึงว่ามีสมาชิกในบ้านตาย เจ็บป่วยกะทันหันหรือเรื้อรังขึ้นมาในบ้าน การหย่าร้าง ล้วนแต่มีผลกระทบกับสมาชิกทุกคน รวมทั้งเด็กๆ ด้วยเสมอ ไม่มีคำว่าเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องมายุ่งเครียด (เดี๋ยวเด็กจะบอกว่า สอบคะแนนไม่ดีเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ต้องมาเครียดบ้าง)

สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กๆ อีกอย่างก็คือ โรงเรียน ซึ่งได้แก่ เรื่องเพื่อนฝูง การเรียน และครู ซึ่งไม่ว่าจุดใดเกิดปัญหาขึ้น ก็อาจส่งผลต่อเด็กได้อย่างมาก

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามหากมีสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นอกจากใจเราจะมุ่งแต่ส่งกองหน้าไปรบกับปัญหาแล้ว คงต้องมองลูกๆ ของเราไปพร้อมกันด้วย เพราะบางทีเราจะ เหมือน "ลืม" ทัพหลวงของเราว่าเดินไปด้วยกันไม่ไหว ไม่ทัน หรือทัพหลวงอาจไม่เข้าใจว่า ทัพหน้าทำอะไรกันอยู่

บางทีเราอาจไม่ลืม แต่ก็คิดว่าเด็กน่าจะเข้าใจได้เอง หรือพอเด็กเกิดปัญหาการปรับตัวขึ้นแล้ว ไม่ได้เฉลียวใจ กลับคิดว่าเด็กมาสร้างภาระเพิ่มให้เสียอีก อย่างพ่อ แม่ทะเลาะกันบ่อยๆ เด็กๆ กลุ้มใจเริ่มเรียนไม่ดี อยากให้แม่มานั่งติวให้ไม่งั้นไม่ทำงาน แม่ก็จะยิ่งเหนื่อยหงุดหงิด บางทีบ่นว่าลูก หรือส่งลูกไปเรียนพิเศษเสียเลย ลูกก็เลยไปติดเพื่อน หนักเข้าไปอีก

อีกเรื่องที่ทำให้เด็กต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และบางทีจะเกิดปัญหาได้ก็คือ เด็กเองโตขึ้นทุกวัน ต้องฟันฝ่าตามพัฒนาการทางจิตใจต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ใช่ว่าถึงเวลาเด็กก็เป็นเอง อย่างเช่นเรื่องการรู้และแสดงออกตามเพศของตัว หรือความรับผิดชอบในความคาดหวังจากพ่อแม่ โรงเรียน หรือด้วยตัวเด็กเองก็ตาม ความรู้เรื่องพัฒนาการแบบนี้มีใน หนังสือเยอะแยะไปหมดแล้ว คงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คาดได้ว่า ลูกเราอายุแค่ไหน ต้องการอะไร (นอกเหนือไปจากว่า อายุเงินฝากกี่เดือนแล้วได้ดอกเบี้ยเท่าไร ) อยากให้มองว่า เด็กไม่ได้จงใจส่งสัญญาณเรียกร้องความสนใจให้ใครรู้หรอก

ตามปกติ เมื่อเด็กเขาเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะต่อสู้ไปตามนิสัย ประสบการณ์ที่เคยติดตัวมา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วก็มักผ่านได้โดยดี (ไม่ต้องเลือกใหม่สามสี่รอบแบบ สว.)

สัญญาณเตือนแบบไหนอันตราย?

สิ่งที่นับว่าเป็นสัญญาณไม่ดีแล้วก็คือ เมื่อลูกเลือกวิธีที่ไม่เข้าท่ามาแก้ปัญหา ยิ่งใช้ก็ยิ่งแย่ หรือหมดมุขไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว เราถึงได้นับอย่างนั้นเป็นสัญญาณที่ต้องเข้าช่วย

มาถึงเรื่องว่า เด็กจะส่งสัญญาณเย้วๆ ให้เราตีความแบบไหนได้บ้าง

คนที่เดินมาบอกเองว่า กลุ้มใจก็พอมี แต่ไม่เยอะมาก เพราะบางทีเด็กไม่สบายใจแต่บรรยายไม่ถูก เหมือนบางเพลงเราฟังว่าเพราะ แต่ไม่รู้จะบรรยายยังไง

เด็กบางรายก็เกรงใจไม่อยากบอกพ่อแม่ คิดว่าเดี๋ยวก็หายเอง (ก็ทำนองเดียวกับผู้ใหญ่บางรายละครับ )

ที่ร้ายก็คือ เด็กก็เคยพยายามส่งซิกแล้ว แต่พ่อแม่กลับว่าเด็กว่า ไม่น่าคิดมาก ไม่ซื้อความรู้สึกของเด็ก แล้วปิดการเจรจา เด็กก็เลยปิดการขายไม่ลง

ถ้าจะบอกง่ายที่สุดก็คือ สัญญาณอย่างว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้ สัญญาณอาจได้แก่การถดถอย หมายถึงว่า เด็กกลับไปเหมือนเด็กที่เล็กกว่า ไม่สมอายุ เช่นเคยนอนคนเดียวได้ กลับกลัวติดแม่แจ หรือกลับไปปัสสาวะรดที่นอนเหมือนตอน 2-3 ขวบ พูดยานคาง ไม่ชัด กัดเล็บ แบบนี้เราต้องเริ่มสนใจ บางทีเด็กอาจแสดงสัญญาณโดยเหม่อลอย ไม่ยิ้มแย้ม แยกตัว ไม่อยากเสวนากับใคร อย่างนี้พ่อแม่มักไม่พลาด เพราะเห็นได้ชัด

อีกขั้วก็คือ เด็กอาจกลับนิสัยจากที่เคยสงบเรียบร้อย กลายเป็นต่อต้าน ดื้อ ก้าวร้าว มาอาการนี้ พ่อแม่มักหลง ไม่รับสัญญาณ แต่มักเป่าแตรรบใช้อำนาจกำลังปราบกบฏให้ เด็กกลับเป็นเมืองขึ้น ซึ่งมักทำให้เรื่องบานปลาย

สัญญาณที่หมอได้เจออยู่เสมอก็คือ เด็กบอกอาการป่วยโน่นนี่อยู่เรื่อย ที่แชมป์ก็คือปวดหัวปวดท้อง (บางรายลามไปปวดก้านคอ ใบหู) โดยที่ไปหาหมอเก่งๆ ตรวจมาเยอะแยะ แล้ว หมอก็ส่ายหน้าหาโรคให้ไม่ได้ พบไม่น้อยว่าเกิดปัญหาในใจขึ้นมาแล้ว อาการอย่างนี้มักมาร่วมกับการที่เด็กจะไม่ยอมไปโรงเรียนคู่กันด้วย

สัญญาณอย่างสุดท้ายที่จะยกตัวอย่างให้ฟังคือ เรื่องของสรีระร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ ฝันละเมอมากขึ้น กินอาหารไม่ลงหรือกินมากกว่าปกติ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะราดบ่อย หรือไม่ยอมถ่าย กลั้นไว้ให้ผู้ใหญ่ขัดใจเล่น (ซึ่งมักพบว่าเป็นปัญหาในเด็กวัยอนุบาล)

ถึงตอนนี้ คงได้ภาพของเด็กที่เริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ SOS กับเราแล้ว อย่าลืมว่าเครื่องรับของเราต้องพร้อมเปิดรับอยู่ และพร้อมที่จะเข้าไปรับฟังช่วยเขาด้วย พ่อแม่เอง ถ้าคิดว่าสถานการณ์ช่วงไหนที่เล่าแล้วว่า เสี่ยงต่อการที่ลูกของเราจะปรับตัวยาก ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเข้มของการมองหาให้มากขึ้นด้วย

จริงอยู่ กระต่ายตื่นตูมจะกลุ้มใจเกินเหตุ แต่เด็กของเราอาจไม่รู้ว่า วิธีแก้ปัญหาของเขาอาจเหมือนกับการไปเขย่าโยกต้นให้มะพร้าวหล่นใส่หัวตัวเองมากขึ้น ช่วยเขาหาทางที่ถูกแต่ต้นมือดีกว่าครับ


ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก

www.momypedia.com

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

สมุนไพรแก้ไข้หวัดโดยตะไคร้


ช่วงนี้อากาศร้อนม๊าก มาก ทำให้มีหลายคนเป็นไข้หวัดไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ วันนี้จึงขอนำเสนอน้ำสมุนไพรแก้ไข้หวัด คือน้ำตะไคร้กับขิงสดมีวิธีทำดังนี้

ใช้ตะไคร้ 1 ต้น หั่นเป็นแว่นๆและขิงสด 5-6 แว่น
ใส่น้ำ 3-4 แก้ว ต้มจนเดือดทิ้งไว้ให้อุ่น
ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร

ขอขอบคุณภาพสวย ๆ จาก
อินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซุปมักกะโรนีหมู อาหารลูกรัก


เย็นวันนี้มาดูตู้เย็นว่ามีอะไรบ้างที่สามารถทำอาหารให้ลูกรัก และตัวเองดี
พอดีเห็นวัตถุดิบแล้วเลยนึกอยากทำซุปมักกะโรนีให้ลูกทานเย็นนี้

มีส่วนประกอบดังนี้
มักกะโรนี
มะเขือเทศ 2 ลูก
หอมหัวใหญ่ 1 ลูก
แครอท 1 หัว
และหมูสับประมาณ 1 ขีด

วิธีทำ
  1. ต้มน้ำให้เดือน พอน้ำเดือดให้ใส่เกลือป่นไปเล็กน้อย และใส่มักกะโรนี ต้มประมาณ 10 นาที ลองชิมดูว่าแป้งมักกะโรนีสุกหรือไม่ พอสุกแล้วก็ยกลงและล้างน้ำเย็นอีกครั้ง
  2. ต้มน้ำซุปใส่หมูสับและปรุงรสด้วยซอสปรุงรส เกลือ ซีอิ๊วขาว แล้วลองชิมรสว่าถูกปากหรือไม่ เสร็จก็ใส่มะเขือเทศ แครอท หอมหัวใหญ่ ทุกอย่างหั่นแบบลูกเต๋านะค่ะ
  3. นำมักกะโรนีที่ต้มสุกใส่ในหม้อซุป ต้มต่อสักเล็กน้อย แล้วยกลง และใส่ต้นหอมที่หั่นไว้ ใส่เล็กน้อย
วันนี้ได้ต้มซุปมักกะโรนี และ ราคาไม่แพงเหมือนเช่นเคย ราคาอาหารน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40 บาท
มะเขือเทศ 5 บาท
หอมหัวใหญ่ 5 บาท
แครอท 5 บาท
ต้นหอม 5 บาท
ส่วนมักกะโรนี ใช้เพียงครึ่งห่อเล็ก น่าจะสัก 20 บาทได้

อิ่มทั้งแม่ และลูกเลย และยังปลอดภัยไร้ชูรสอีกด้วย

ขอขอบคุณภาพสวย ๆ จาก

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหารเย็นวันนี้ ปลานิลนึ่ง + น้ำพริกนรก อร่อยสุดยอด


วันนี้ว่าจะทำอะไรดีเป็นอาหารเย็น พอดีในตู้เย็นมีปลานิล และน้ำพริกนรก ก็เลยคิดว่าทำปลานึ่งกินดีก่า

ส่วนผสม
ปลานิล 1 ตัว
ผักกาดขาว หรือ กะหล่ำปลี 1 หัว
น้ำปลา
มะนาว

วิธีทำ
  1. เอาปลานิลที่ขอดเกล็ด และผ่าท้องเรียบร้อยแล้ว ล้างให้สะอาด เอาผักเรียงบนจาน และนำปลามาวางลงบนผัก แล้วนำไปนึ่งในลังถึงจนปลาสุก น้ำจากปลาและน้ำผัก จะซึมออกมา (รสชาติหวานน้ำผัก และ มันจากน้ำมันปลาที่ออกจากตัวปลา)
  2. นำน้ำพริกนรกใส่น้ำปลา และ น้ำมะนาว ก็เป็นน้ำจิ้มปลา ที่แสนง่าย และอร่อยแล้ว
เพียงแค่นี้ก็เป็นอาหารเย็นที่ราคาไม่แพงเลย รับรองเมนูนี้ราคาไม่ถึง 50 บาท ชัวร์ แถมยังทานกันได้ทั้งครอบครัวอีกด้วย

เคล็ดลับ ในการล้างปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว ให้นำนมจืดมาล้าง โดยแช่ปลาทิ้งไว้สัก 5-10 นาที ไม่ต้องล้างน้ำซ้ำ แล้วนำไม่ประกอบอาหารได้เลย รับรองไม่มีกลิ่นคาวมากวนใจแน่นอน

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหารสุขภาพวันนี้ "ข้าวผัดกะเพรา"

วันนี้มีอาหารจานเดียว ทำง่าย แถมอร่อย มาแบ่งปันกันค่ะ

ส่วนผสม
ข้าวสวย 250 กรัม
น้ำผัดกะเพรา 70 กรัม
ไก่ 80 กรัม
น้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าสดหั่นแฉลบ 5 กรัม
ใบกะเพรา 10 กรัม

ส่วนผสมน้ำปรุงรส
ใบกะเพรา 10 กรัม
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่แดง หรือ เขียว 35 กรัม
กระเทียม 75 กรัม
หอมแดง 25 กรัม
ข่าแก่ 10 กรัม
พริกไทยดำป่น 2 กรัม
น้ำปลา 75 กรัม
กะปิ 3 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 20 กรัม
เกลือป่น 5 กรัม
น้ำมันพืช 100 กรัม
แซนแทนกัม 1 กรัม
น้ำ

วิธีทำ
ผสมน้ำกับแซนแทนกัมให้เข้ากันดี
โขลกพริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง ข่า พริกไทยดำ กะปิ พอเข้ากัน ใส่ใบกะเพราโขลก หยาบๆ
ผัดน้ำพริกรวมกับน้ำมันร้อน ให้สุก ปรุงรสด้วย เกลือป่น น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา เติมน้ำที่ผสมแซนแทนกัม เดือดทั่วกันดีแล้วยกลง
ผัดไก่กับน้ำมันพืช พอไก่สุกใส่พริกชี้ฟ้า ข้าวสวย น้ำปรุงรส ผัดรวมกัน จนน้ำปรุงรสและข้าว เข้ากันดี ใส่ใบกะเพรา ตักเสิร์ฟร้อนๆ

คุณค่าของสมุนไพรไทย * ที่มา : ผศ.ดร.อัญชนีย์ อุทัยพัฒนาชีพ และคณะฯ
ใบกะเพรา : ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็ง ช่วยเสริมสร้าง กระดูกและฟัน
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่แดง ?เขียว : ช่วยเจริญอาหาร ขับลม เป็นยาระบาย ช่วยขับเสมหะ แก้หวัด
หอมแดง : ช่วยบรรเทาอาการหวัด หายใจไม่ออก
กระเทียม : ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด โรคมะเร็ง การอักเสบ รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา
ข่าแก่ : ช่วยขับลม แก้อาการแน่น จุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

5 ขั้นของความสุข ... ว. วชิรเมธี

ท่าน ว.วชิรเมธี จะมาแนะ 5 ขั้นของความสุขให้รู้จัก

เชื่อแน่ว่าความสุขที่ทุกคนปรารถนา ใช่ว่าจะได้มาเหมือนกันทุกคน เพราะคนที่ปรารถนาความสุข แล้วมีความสุขนั้น คือคนที่เรียนรู้ว่าจะแสวงหาความสุขได้อย่างไร

ในทางพุทธศาสนามีพุทธสุภาษิตอยู่บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า อยากมีความสุข หากแสวงหาถูกวิธี ก็ย่อมจะมีความสุข ส่วนใครอยากมีความสุข แต่คุณแสวงหาไม่ถูกวิธี ก็จะไม่พบกับความสุข ฉะนั้นถ้าเราอยากจะมีความสุข ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า ความสุขนั้นมีกี่ขั้น เพราะเรามีความสุข เราจะได้รู้ว่าสุขที่เรามีเป็นสุขขั้นไหน แล้วเราจะพัฒนาความสุขนั้นขึ้นไปได้อย่างไร จึงจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนเป็นผู้ที่มีความสุขแท้

พระพุทธศาสนาบอกว่า ความสุขของมนุษย์ มี 5 ระดับ ได้แก่
  1. สุขเกิดจากความมี เป็นความสุขในระดับเศรษฐกิจ มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนถึงมีอิสรภาพในการใช้ความคิด คนเราพอมีปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยสี่แล้ว ชีวิตก็มีความสุข ลองไปถามดูสิว่า ใครไม่อยากมีบ้าน ใครไม่อยากมีรถ ใครไม่อยากมีเงิน ทุกคนอยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีเงินจับจ่ายใช้สอย เราอยากกินอิ่ม นอนอุ่น เหล่านี้เรียกว่าความสุขจากความมี ที่เราแสวงหากันทุกวันนี้ก็เพื่อตอบโจทก์จากความมีทั้งนั้น ทุกคนอยากมี ใครๆ ก็อยากมี ไม่มีใครอยากเป็นคนจน เราจึงมีวลีอยู่วลีหนึ่งว่า "มั่งมีศรีสุข" หมายความว่า ถ้าเราเป็นคนมีมากๆ ซึ่งเราใช้คำว่า มั่งมี ก็จะก่อเกิดความสุขที่เป็นเกียรติเป็นศรี ซึ่งใช้คำว่า ศรีสุข แล้วเรียกรวมกันว่า มั่งมีศรีสุข สะท้อนชุดความคิดที่ว่า การมีสิ่งต่างๆ นั้น ก่อให้เกิดความสุข ความสุขนี้เรียกสั้นๆ ว่า มั่งมีศรีสุข
  2. ความสุขจากความดี คือเราได้ทำคุณงามความดีเอาไว้มาก พอระลึกนึกถึง เราก็เกิดความปิติ เกิดความภาคภูมิใจในคุณงามความดีที่เราได้บำเพ็ญเอาไว้ จิตใจถูกหล่อเลี้ยงด้วยคุณงามความดี จิตใจถูกหล่อเลี้ยงด้วยความภาคภูมิใจ เราก็เลยรู้สึกว่าชีวิตนั้นมีความอยู่เย็นเป็นสุข เป็นความสุขด้านใน
  3. สุขจากการมีความรู้ คนเราพออยากรู้อะไรแล้วได้แสวงหา จนกระทั้งค้นพบความจริง แล้วเราก็มีความรู้ ความรู้ก่อเกิดความสุข เช่น ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจนลืมกินข้าว ‘มาดามแมรี คูรี่’ อ่านหนังสือสอบจนลืมกินข้าว ‘โทมัส อัลวา เอดิสัน’ มีความสุขกับการทดลอง เพราะฉะนั้นนักวิชาการทั้งหลายจึงให้ความสำคัญน้อยมากกับเรื่องความร่ำรวย กับเรื่องเกียรติภูมิในสังคม แต่ให้ความสำคัญอย่างสูงยิ่งกับการทำงานเชิงวิชาการ ความสุขจากการแสวงความรู้ ก็เป็นความสุขที่ประณีตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
  4. ความสุขจากความสงบ ร่มเย็น เพราะว่ามีสุขภาพดี เพราะว่ามีอิสรภาพในการใช้ปัญญา เพราะว่ามีจิตที่เป็นสมาธิ เบิกบานผ่องใส ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขอันประณีต ความสุขอย่างนี้บางทีเราก็ใช้คำว่า สมาธิสุข สุขที่เกิดจากสมาธิ คือสภาพชีวิตที่ราบรื่น เรียบร้อย รื่นรมย์ เราสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุขโดยที่ขึ้นต่อคนอื่นน้อยลง แต่เป็นความสุขของจิตใจที่แจ่มใส เบิกบาน สงบนิ่งล้วนๆ
  5. วิมุติสุข สุขจากการเป็นอิสระจากความอยาก คนทั่วไปนั้นพยายามเรียกร้องเสรีภาพที่จะอยาก คืออยากอย่างเสรี มนุษย์ทั่วไปอยากอะไรแล้วได้สมอยากก็มีความสุขใช่ไหม มนุษย์ทั่วไป ไปได้แค่นั้น แต่ในทางพุทธศาสนา เราถือกันว่าความสุขที่แท้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตอบสนองความอยาก แต่ความสุขที่แท้เกิดขึ้นจากการเป็นอิสระจากความอยาก ใครเป็นอิสระจากความอยาก คนนั้นก็มีวิมุติสุข คือความสุขจากอิสระของจิตใจที่ไร้มลทิน เพราะไม่มีกิเลสมาพันธนาการเอาไว้
ใครก็ตามที่อยากมีความสุข นอกจากจะต้องแสวงหาให้ถูกวิธีแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่าความสุขมีกี่ประเภท เราจะได้ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นในความสุขชนิดใดชนิดหนึ่ง แล้วก็บอกตัวเองว่าฉันประสบความสำเร็จแล้วในชีวิต

บางทีมันอาจจะเป็นบันไดขั้นแรกของความสุข แล้วคุณก็ติดอยู่บันได้ขั้นแรก แล้วก็หลงภูมิใจ บอกใครต่อใครเขาไปทั่วว่าคุณมีความสุข ทั้งที่จริงมันเป็นเพียงแค่โรงเรียนอนุบาลของความสุข ทั้งที่จริงคุณควรไปจะไปถึงอุดมศึกษาของความสุขมากกว่า...

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :